เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมเพื่อหัวใจของเราไง หัวใจของเรามันทุกข์มันยาก เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา ธรรมโอสถๆ เป็นที่บรรเทาทุกข์ในหัวใจของเรานะ
แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเราท่านมีเป้าหมายของท่าน ท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์ๆ ไง
ของเราแค่บรรเทาทุกข์ ถ้าบรรเทาได้ ถ้าบรรเทาทุกข์ ในชีวิตของเรามันไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป แต่ชีวิตก็เป็นปัจจุบันอยู่อย่างนี้ ถ้าชีวิตเป็นปัจจุบันอยู่อย่างนี้ เพราะมนุษย์เกิดมา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน คนเรามีจริตนิสัยต่างๆ กัน ความรู้ความเห็นของคนแตกต่างกัน
แล้วคนที่มีเจตนาที่ดีเวลาทุกข์เวลายากเราก็ต้องการธรรมโอสถ เวลาเราสุข เวลาเราอุดมสมบูรณ์ของเรา เราไม่เคยคิดถึงชีวิตของเราเลย ถ้าเราไม่เคยคิดถึงชีวิตของเราเลย เราพยายามจะแสวงหาความสุขทางโลก เราจะพยายามแสวงหาความสุขที่โลกนี้เขามีอยู่ โลกนี้เขามีอยู่ ทุกคนก็แสวงหาความสุขอย่างนี้ได้ทุกๆ คน ใครมีเงินมีทองเขาแสวงหาได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงที่เขาแสวงหาไม่ได้ไง อัตตสมบัติๆ สมบัติในใจของตน สมบัติในใจของตนไง
เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา มันทุกข์มันยากขึ้นมาเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความไม่รู้ มันต้องการแสวงหาตัณหาความทะยานอยากของมัน ด้วยความไม่รู้ก็แสวงหา ก็ตะครุบเงา สิ่งนั้นมีแต่ความทุกข์ความยากทั้งสิ้น
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาธรรมๆ ศึกษาธรรมเพื่อหัวใจของตนไง ถ้าหัวใจของตนนะ สิ่งที่มีค่าที่สุดคือหัวใจของเราไง สิ่งที่มีค่าที่สุดคือชีวิตนี้ไง แต่ชีวิตนี้มันต้องอาศัยปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ ไง เราก็ไปแสวงหาปัจจัย ๔ นี้ว่าเป็นความสุขๆ ไง
ปัจจัย ๔ ทุกคนเขาก็แสวงหาได้ ทุกคนเขาก็มีได้ แล้วถ้าปัจจัย ๔ นะ เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ปัจจัย ๔ ช่วยสิ่งใดเราไม่ได้เลย ปัจจัย ๔ ไม่ใช่ความสุขของเราเลย เวลาความสุขของเรา เราต้องการให้หายจากโรค หายจากความเป็นไข้ ถ้าหายอย่างนั้น หายขึ้นมาก็เพื่อกลับไปหาปัจจัย ๔ เหมือนเดิมใช่ไหม
แต่ถ้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ธรรมโอสถรักษาหัวใจของเราๆ นะ ชีวิตของเรา เราต้องการ ทุกคนปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งสิ้น แต่ความสุขๆ ความสุขของใคร ความสุขของฆราวาสธรรมๆ ไง
ฆราวาสธรรมนะ ถ้าทำความสงบของใจได้มันก็มีความสุขแล้ว ความสุขอย่างนั้น สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีไง สิ่งที่จิตที่มันฟุ้งซ่าน จิตที่มันตึงเครียด จิตที่มันแสวงหา ที่มันกดดันหัวใจอยู่นี่เป็นความทุกข์ความยากทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่สิ่งที่มีชีวิตนะ
จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่มีค่าที่สุดๆ สิ่งที่มีค่าที่สุดไง
เวลาทำความสงบของใจเข้ามา ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้รู้รู้ในตัวมันเอง เวลาตื่น ตื่นจากการหลับใหล เวลาเบิกบาน เบิกบานในหัวใจของตน ความสุขมันหาได้ที่นี่ไง
เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านสิ้นสุดแห่งทุกข์ หลวงตาท่านพูดประจำ สิ่งที่ยอดปรารถนาคืออยู่คนเดียว อยู่ด้วยตัวคนเดียวมีความสุขมาก ความสุข ความสุขในใจของตน อยู่คนเดียวๆ นั่นน่ะ หัวใจที่อยู่เป็นสุขๆ หัวใจมันอิ่มพอในตัวของมัน เห็นไหม
แต่ของเรามันขาดตกบกพร่อง เราต้องแสวงหาจากที่อื่น แสวงหาจากภายนอก แสวงหามา การแสวงหามา แสวงหาอย่างนั้น การแสวงหา แสวงหาเพื่อดำรงชีวิตๆ แต่ดำรงชีวิต พระก็ต้องแสวงหา เช้าออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง แสวงหาสิ่งที่ดำรงชีวิตไว้ทำไม ไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันทุกข์มันยากนัก
เวลาพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เป็นถึงกษัตริย์ เป็นถึงจักรพรรดิ เป็นทุกๆ อย่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เป็นเพื่ออะไร เป็นเพื่อสะสมคุณงามความดี เป็นเพื่อทำจิตใจให้เป็นสาธารณะ ปกครองดูแลประชาชนให้มีความร่มเย็นเป็นสุขๆ นี่สร้างอำนาจวาสนาบารมีมากขึ้นๆ ไง
ความสร้างอำนาจวาสนาบารมีมากขึ้นเพื่ออะไร
เพื่อหัวใจที่มั่นคง เพื่อหัวใจที่มีสติปัญญา เพื่อหัวใจที่ค้นคว้าให้มันมีสัจจะความจริงในหัวใจของตนขึ้นมาได้ นี่คนที่แสวงหาความสุขๆ ความสุขอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ๆ ก็ทำบุญกุศลสิ่งนั้นมา
เราเกิดมาเราเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัยของเราไง เราจะทำคุณงามความดีของเราๆ ทำคุณงามความดีทิ้งเหว ใครจะติฉินนินทาอย่างไรมันเรื่องของเขา
ถ้าเรื่องของเขานะ เรื่องของเขา ถ้าเราไปเชื่อเขาไง เราเชื่อเขา เราไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม
เราไม่เชื่อเขา เราจะเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ทาน ศีล ภาวนา ทาน ศีล ภาวนาไง เราเกิดมามีชีวิตแล้ว ชีวิตมีคุณค่าขนาดไหน
ดูสัตว์สิ สัตว์หัวหน้าฝูงถ้ามันคุ้มครองฝูงของมันได้ ฝูงสัตว์นั้นจะมีความสุข เราก็เหมือนกัน ถ้าเรามีสติปัญญาเท่าทันหัวใจของเรา เราคุ้มครองดูแลชีวิตของเรา นี่ไง เรารักษาหัวใจของเรา ทำคุณงามความดีที่นี่ไง ทำคุณงามความดีเพื่อหัวใจของเราไง
ใครจะติฉินนินทามันเรื่องของเขาๆ เราทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีของเรา แต่เราทำไม่ได้ไง เราทำไม่ได้เพราะอะไร เราต้องการให้คนอื่นชื่นชมเราไง ต้องเขาว่าดี เราถึงจะทำไง
ในโลกมันก็มีการประชาสัมพันธ์ คนนั้นเป็นคนดีคนยอดเยี่ยม ไอ้นั่นมันจัดตั้งทั้งนั้นน่ะ มันจัดฉาก มันจัดฉากขึ้นมาว่าเป็นคนดีๆ คนดีทำไมต้องโฆษณาชวนเชื่อ
นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านสิ้นสุดแห่งทุกข์ ท่านปรารถนาอยู่คนเดียวไง เพราะมันไม่มีใครมีสติปัญญารู้เท่าถึงความสงบสงัดในหัวใจอันนั้นได้ แล้วใครมันจะรู้ได้ว่าดีหรือไม่ดี มันรู้ไม่ได้หรอกว่าดีหรือไม่ดี
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เวลาเขาคุยธรรมะกัน ถ้าคนไม่รู้มันพูดไม่ได้ คนไม่รู้มันตอบไม่ได้ ถ้าคนไม่รู้มันจะถามปัญหานั้นได้อย่างไร ถ้าถามปัญหา ปัญหาร่ำรวยไง
เวลาทางโลกเขาถึงจับกระแสสังคมได้ เขาพยายามวิเคราะห์วิจัยสังคม วิจัยเพื่อเป็นการตลาดของเขา ถ้าซื้อเครื่องรางอย่างนี้มันจะร่ำรวยอย่างนี้ ซื้อเครื่องรางอย่างนั้นมันจะอุดมสมบูรณ์ไปอย่างนั้น ซื้ออย่างนั้น มันก็เหนือกรรมน่ะสิ
กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันนะ คนเรามีเวรมีกรรมทั้งสิ้น คำว่า “มีเวรมีกรรม” เพราะจริตนิสัยมันชอบไง คนที่มีกรรมมันชอบอย่างนั้นน่ะ ชอบสิ่งที่มันชอบนั่นแหละ นั่นน่ะจริตนิสัยของเขา เขาทำของเขามา ย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตจนเป็นนิสัยของเธอ เธอย้ำคิดย้ำทำอยู่แล้วมันก็จะเป็นสันดานของเธอ เป็นสันดานของเธอไง เราไม่ต่อต้าน เราไม่หาทางออกในหัวใจของเรา
นี่ไง ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เราเท่านั้นเป็นผู้ที่ฝึกหัดหัวใจของเรา เราเท่านั้นเป็นผู้หักห้ามใจของเรา เราเท่านั้นเป็นผู้ฝึกฝนในใจของเรา
โคถึก โคถึก จิตนี้เหมือนช้างสารที่ตกมัน เวลามันพิจารณาของมัน มันต้องการของมัน มันปรารถนาของมัน มันฟาดงวงฟาดงาในใจของตน แล้วทำสิ่งใดว่าคนอื่นเขาจะไม่รู้ เป็นไปไม่ได้หรอก ความลับไม่มีในโลก เราเท่านั้นน่ะรู้ เรารู้เป็นคนแรก แล้วรู้เป็นคนที่สอง ที่สาม ที่สี่ต่อๆ ไป แล้วเวลารู้มันก็เป็นสังคมขึ้นมา
เวลาเป็นกระแสสังคม สังคมของใครเขาปรารถนาอย่างไร เวลาบ้าห้าร้อยจำพวก ใครบ้าสิ่งใดก็เข้าชมรมอย่างนั้นน่ะ มันชอบสิ่งใดก็ไปเข้าชมรมอย่างนั้น
แต่เราบ้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราบ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัญลักษณ์ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราพยายามทำความสงบของใจเข้ามา
ทั้งๆ ที่เราบ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัญลักษณ์ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลาเราไปเจอพุทธะในใจของเราเอง
ในใจของเรามีพุทธะ มีผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แต่ในปัจจุบันนี้มันโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากปกคลุมมันไว้ เวลาปกคลุมมันไว้ ที่ว่าแหวกจอกแหนๆ เวลาหลวงตาท่านเทศนาว่าการ พอแหวกจอกแหน แหวกจอกแหนมันต้องมีน้ำ ถ้าไม่มีน้ำมันจะมีจอกแหนขึ้นมาได้อย่างไร จอกแหนมันต้องอยู่บนน้ำนั้น
เวลาบนน้ำ เรามองไปไม่เห็นน้ำเลย เห็นแต่จอกแหน พอแหวกจอกแหน แหวกจอกแหนก็เห็นน้ำไง
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ปกคลุมในหัวใจของเราไว้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ แหวกๆๆ มัน เวลาแหวกมัน พอจิตมันสงบมันไปถึงน้ำของมัน ถ้าถึงน้ำของมัน
เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมๆ นะ การแหวกจอกแหนให้เราฝึกหัด ให้เราพยายามฝึกฝนของเรา ถ้าฝึกฝนของเราถ้ามันเป็นได้จริงนะ เป็นได้จริงนี่สุขสงบ ความสุขความสงบในหัวใจของเราที่เราค้นคว้าในใจของเรา
จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่มันมีคุณค่าอย่างนี้ มันมีคุณค่าอย่างนี้ แต่เรามองไม่เห็นคุณค่าอย่างนี้ เราไม่มีสติปัญญาสามารถรักษาสิ่งที่เป็นคุณค่าอย่างนี้ได้ เรารักษาได้แต่สัญญอารมณ์ ได้แต่กระแสสังคม
กระแสสังคม จิตวิทยาเขาก็จับกระแสสังคม จับความต้องการของคนนี่แหละ เราก็ไปรู้ได้แค่นั้น เราก็ตื่นเต้นไปกับอย่างนั้นไง ไอ้สิ่งที่กระแสสังคม สัญญาอารมณ์มันก็ปกคลุมจิตไว้ ปกคลุมจิตไว้มันก็เหมือนจอกแหนที่ปิดน้ำไว้
เวลาพุทโธหายใจเข้า หายใจออก พุทโธๆๆ มันแหวกไปๆ มันก็ไปเจอน้ำนั้น พอเจอน้ำนั้น จิตสงบแล้ว ตั้งมั่นแล้ว ถ้ามีกำลัง มีอำนาจวาสนา น้ำนั้นมันปฏิเสธจอกแหน น้ำนั้นมันผลักดันจอกแหนให้ขึ้นไปอยู่บนฝั่ง น้ำนั้นมันกำจัดจอกแหนให้ไปทำเป็นอาหารสัตว์
จอกแหนคือกิเลส ถ้าแหวกจอกแหนๆ แหวกอยู่นั่น กิเลสมันก็อยู่นั่น กิเลสกับเราก็อยู่ด้วยกันนั่นแหละ แหวกจอกแหน แหวกจอกแหนแล้วต้องจับจอกแหนเอาไปตากแห้ง เอาไปทำคุณประโยชน์ เอาไปเพื่อการกำจัดมันทิ้งไป นี่ไง แหวกจอกแหน
แหวกจอกแหนเป็นเรื่องหนึ่ง การที่แหวกจอกแหนแล้วทำลายจอกแหนนี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การทำลายจอกแหนคือทำลายกิเลสของเราไง ถ้าแหวกจอกแหน แหวกจอกแหนอยู่นี่มันไม่ได้กำจัดจอกแหน จอกแหนก็อยู่อย่างนั้นน่ะ
“สมาธิไม่ได้แก้กิเลส สมาธิไม่ได้แก้กิเลส”
ถ้าไม่มีสมาธิ เอ็งก็ไม่มีกำลังที่จะกำจัดจอกแหนได้
แต่ไอ้นี่มันเป็นเรื่องโลก มนุษย์มีสติปัญญา มนุษย์ เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด เขาก็ต้องมีหน้าที่ของเขากำจัดจอกแหน นี่เป็นคน นี่เป็นมนุษย์ที่มีปัญญา กำจัดจอกแหนนี้เพื่อทางการคมนาคม เพื่อความสะดวกในการเดินทาง ไอ้นี่มันเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ
แต่เวลาแสดงธรรมๆ ก็เอาสิ่งนี้มาเป็นบุคลาธิษฐาน มาเป็นการเปรียบเทียบ เปรียบเทียบว่า อารมณ์ความรู้สึกของเราถ้ามันเป็นวัตถุแล้วมันเป็นอย่างนั้น
ถ้าอารมณ์ความรู้สึกที่ว่ามันละเอียดลึกซึ้ง แต่ถ้ามันเปลี่ยนเป็นจอกแหน เปลี่ยนเป็นกระแสน้ำ เปลี่ยนเป็นความอบอุ่น เปลี่ยนเป็นสิ่งที่ดีงามและสิ่งที่ความชั่วร้าย กิเลสเป็นความชั่วร้าย ธรรมะเป็นอุดมการณ์ ธรรมะเป็นความมงคล แล้วธรรมะจะมาเกิดขึ้นได้ก็เกิดขึ้นได้จากการกระทำ
แต่การกระทำนี้ ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาท่านกระทำตามความเป็นจริงนั้น ผลที่เกิดขึ้นคือสันทิฏฐิโก คือความรู้จริงเห็นจริงรู้จำเพาะหัวใจนั้น หัวใจนั้นที่มีอำนาจวาสนา หัวใจนั้นเป็นผู้บุกเบิก หัวใจนั้นเป็นผู้กระทำ หัวใจนั้นจะมีคุณค่าขึ้นมาจากหัวใจนั้นไง
แต่หัวใจนั้นน่ะ ส่งที่มีชีวิตที่มีคุณค่าๆ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมาเกิดเป็นเราอยู่นี่ไง เวลาเกิดเป็นเรา เราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมไง เราอยู่ในกระแสสังคมไง กระแสสังคมก็ชักนำกันไปไง “สิ่งนั้นเป็นคุณค่า สิ่งนั้นเป็นคุณค่า” คุณจากสมองอย่างนั้นน่ะ คุณค่าจากคนที่มีวุฒิภาวะอย่างนั้นน่ะ แล้วก็ชื่นชมว่ามีค่าๆ ไง
แต่สิ่งที่มีคุณค่าของเรา คุณค่าตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรามีคุณค่าในหัวใจของท่านไง คุณค่าในพุทธะที่มันสว่างไสว พุทธะที่มันการกระทำมาแล้วไง
สิ่งที่กระทำมาแล้ว กระทำมาแล้วด้วยอะไร
กระทำมาแล้วด้วยข้อวัตรปฏิบัติ กระทำมาแล้วในเครื่องอยู่ของใจ เครื่องอยู่ของใจไง
สิ่งที่สัญญาอารมณ์ สิ่งที่หัวใจที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่เราก็จะไปเที่ยวต่างประเทศ เที่ยวรอบโลก ทำบุญแล้วจะยิ่งใหญ่
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะ สิ่งที่เครื่องอยู่ของใจนะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ของใจ ใจที่มันดีดมันดิ้น ใจที่มันแสวงหามันเดือดร้อนของมัน นี่บังคับ
ใหม่ๆ บังคับเลย อยู่กับพุทโธ อยู่กับการกระทำนี้ บังคับ
แต่มันบอก “ไอ้นี่มันเรื่องของคนอื่น ให้คนอื่นทำก็ได้”
เดี๋ยวนี้วัดทั่วไปโดยทั่วไปถ้าเขาทำได้ก็นับว่าดีนะ วัดที่เขามีคณะกรรมการ เขาตั้งกรรมการขึ้นมาหาคนมาบำรุงวัดดูแลวัด เขาต้องจ้างคนมาทำความสะอาดไง
แต่ถ้ากรรมฐาน กรรมฐานพระทำกันเอง นี่ไง พระทำกันเองเพราะอะไร เพราะมันเป็นเรื่องของพระ พระเป็นเครื่องอยู่ของพระ พระจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พระจะค้นคว้าหาใจของตน สิ่งที่การกระทำข้อวัตรปฏิบัติ ทำตามวินัย บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ทำๆ นี่บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาหลวงตาท่านสอนไง อย่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรม
เวลาบอกเลยนะ “ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเธอ”
พระอานนท์ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วพระจะเอาอะไรเป็นที่พึ่ง
“ธรรมและวินัยที่เราตรัสแล้วจะเป็นศาสดาของเธอ”
ธรรมวินัยเป็นศาสดา ถึงไม่เหยียบย่ำ ไม่ข้ามไปไง
เวลาพฤติกรรมของตนก็เหยียบไป ข้ามไป แล้วแสดงธรรมนะ หลวงตาท่านเน้นประจำ
แต่คนอื่นฟังแล้ว ฟังแล้วก็ลอยลม ฟังแล้วเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไง
แต่เราฟังแล้วมันสะเทือนใจทุกที ฟังทีไร เวลาฟังเทศน์ ฟังเทป ฟังวิทยุ “เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรม”
ท่านพูดนะ มันกินใจมาก มันกินใจถึงพฤติกรรมไง พฤติกรรมที่เหยียบย่ำทำลาย แล้วแสดงธรรม แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ท่านไม่
เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเป็นพระอะไร ก็เป็นพระอรหันต์ เก็บเล็กผสมน้อย ท่านพยายามรักษาของท่านไว้เพื่ออะไร เพื่อเป็นแบบอย่าง
เวลาของท่าน ท่านก็บอกว่าท่านพยายามจะทำให้มันผิดน้อยที่สุดๆ ไอ้คนที่ทำสมบูรณ์แบบแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหาไม่ได้หรอก
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านอนสีหไสยาสน์ ไอ้พวกเรานอนตีแปลงเลย ทำอะไรก็ทำได้ทุกอย่างไง
มันเป็นไปไม่ได้ที่เราทำตัวอย่างนั้น ธรรมและวินัยที่มันสูงส่ง เราจะให้มันสมบูรณ์แบบทำได้ยาก แต่เราไม่มีเจตนาที่เหยียบย่ำทำลาย ไม่มีเจตนาทำร้าย
ถ้ามีเจตนาทำร้าย เจตนาที่เหยียบย่ำทำลาย เห็นแต่กิเลส เห็นแต่ความมักใหญ่ใฝ่สูง เห็นแต่อำนาจวาสนาเหยียบย่ำทำลายกันตลอด แล้วมันได้อะไรขึ้นมา มันไม่ได้หัวใจไง สิ่งที่เครื่องอยู่ๆ ทรัพย์สมบัติสิ่งที่มีค่าๆ คืออะไร
ชีวิตนี้มีค่าที่สุด
แล้วในชีวิตอะไรมีค่าที่สุด
ก็ความรู้สึกในหัวใจนี้ไง จิตนี้มีค่าที่สุดไง แล้วจิตที่มีค่าที่สุดเอามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาค้นคว้าหามันไง หามัน เห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ “ผู้ที่จะอยู่ไกลเราขนาดไหน ประพฤติปฏิบัติตามเรา เหมือนอยู่ใกล้เรา”
นี่ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้วนะ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติแล้วอยู่ใกล้ชิดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
นี่ไง ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต นี่ถ้ามันเป็นจริง นี่ข้อวัตรปฏิบัติไง สิ่งที่ว่าเป็นข้อวัตรปฏิบัติที่เราจะกระทำกัน เราทำเพื่อหัวใจของเรา แล้วเป็นสมบัติของเราไง
แต่มนุษย์เกิดมาก็มีชีวิตใช่ไหม ชีวิตก็มีปัจจัย ๔ ต้องเป็นที่ดำรงชีพ เราก็แสวงหา เราก็ทำของเรา เราทำของเรา แต่อย่าให้กิเลสมันบีบคั้นจนทุกข์จนเจ็บแค้นนัก ทำไมมีชีวิตแล้วมันทุกข์ยากขนาดนี้วะ ทุกข์ยากขนาดนี้ เราก็ยังดีกว่าคนอื่นนะ เวลาคนอื่นนะเขาทุกข์ยากจนจนตรอก นี่ไง แล้วเวลาถ้ามันทุกข์ยาก แล้วทำไมมันเป็นอย่างนี้ล่ะ
เป็นอย่างนี้ กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน กรรมมันการกระทำของเรามา ถ้ามีการกระทำมา ยิ้มแย้มแจ่มใสดำรงชีวิตของเราไป
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า การทำลายชีวิตของตนเป็นบาปกรรมมหันต์
นี่ไง เวลาเจอสิ่งใดแล้วเวลามันจนตรอกขึ้นมาแล้วจะทำลายเพื่อจะพ้นจากมัน เวลาว่าสิ่งที่มีค่าๆ เอ็งทำลายได้อย่างไร ถ้าเอ็งทำลาย ก็มันทุกข์น่ะ ก็มันทุกข์เพราะการกระทำ เพราะกรรมไง เวลากรรมเหยียบย่ำทำลาย
เวลาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหยียบย่ำทำลาย อหังการ สิ่งที่ว่าดำรงชีพไง เวลามันเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมามันคอตกแล้วล่ะ ยิ่งจนตรอกยิ่งไปเลย
แต่ถ้าเป็นจริงๆ ขึ้นมานะ เคารพบูชา สิ่งที่มันเป็นจริงขึ้นมา
มีคนเยอะมาก ทำความดีๆ ตลอด ทำไมชีวิตมันทุกข์ยากขนาดนั้น
เวลาทุกข์ยากขนาดนั้นเพราะแรงขับดันของกิเลสไง แต่ถ้าเป็นธรรมๆ นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาท่านมีความสุขของท่าน
นี่ก็เหมือนกัน เอ็งจะอหังการไปเอาอะไร ชีวิต คนถ้าสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้วอยู่คนเดียวสุขที่สุด แล้วอยู่ที่ไหน อยู่ที่โคนไม้ รอเวลาวัฏฏะมันหมดไป ลาวัฏฏะน่ะ นี่ถ้ามันเป็นจริงๆ ไง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีไง สุขอื่นใดเท่ากับหัวใจเราไม่มีไง สิ่งที่มีค่าที่สุดในหัวใจของเราไง
สมบัติในโลกนี้อยู่ในใต้กฎอนิจจังทั้งสิ้น ชีวิตเรามีการพลัดพรากเป็นที่สุดนะ คนที่มีสติปัญญาเขาทำเตรียมพร้อมงานศพของเขานะ เขาทำหนังสือของเขา เขาทำพร้อม เตรียมงานศพของเขา เขาจะตายของเขาด้วยการกระทำของเขา ไม่ต้องพึ่งพาใครเลย โลกเขาทำกันอย่างนั้น ถ้าคนที่มีสติปัญญาไง
แต่คนที่ยังเพลิดเพลินกับโลก เวลามัจจุราชมาถึงคอตกเลย เป็นห่วงเป็นใยไปทุกๆ เรื่อง ทำอะไรไม่เสร็จสักที ขอเวลาอีกหน่อยได้ไหมก่อนจะตาย นี่ไง แต่ถ้าเป็นจริงๆ นะ ถ้ามันเป็นจริงในหัวใจมันจบแล้ว
นี้คือสัจธรรม แล้วสัจธรรมนี้เราฟังเพื่อหัวใจของเรา เตือนหัวใจของเรา
ใช่ คนเราต้องปากกัดตีนถีบ เวลาคนชราภาพ เวลาคนอายุมากไปไหนเขาต้องมีออกซิเจนช่วย หายใจก็ยังทุกข์ยากเลย หายใจนะ หายใจออกซิเจนมันไม่พอ เขาต้องมีออกซิเจนอ่อนๆ เอาไว้ที่ปลายจมูก แค่หายใจก็งานเรื่องยิ่งใหญ่แล้วนะ แค่หายใจน่ะ
แล้วนี่เราต้องทำหน้าที่การงานของเรามันหนักหน่วงกว่านั้น หนักหน่วงกว่านั้นเราก็ทำของเรา ชีวิตมันเป็นสัจจะเป็นความจริง เราทำบุญทำกุศลมาอย่างนี้ เราถึงมีจริตนิสัยอย่างนี้ ถึงมีอำนาจวาสนาอย่างนี้ เราทำมาทั้งสิ้น ข้อเท็จจริงเลยล่ะ
แต่บอก “ก็เราเป็นคนดี เกิดมาทำดีตลอด”
ใช่ เกิดมาทำดีมาตลอด เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเกิดมาพบพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ให้เราศึกษาอย่างนี้ ในปัจจุบันนี้เรามีเจตนาที่ดี เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เราถึงเกาะเกี่ยวชีวิตมาแบบนี้
แล้วถ้ามันไม่มีล่ะ
มันไม่มี เราไปลัทธิศาสนาอื่นมันยิ่งเลวร้ายกว่านี้ เลวร้ายกว่านี้เพราะไม่มีทางออกเลย ให้คนอื่นเป็นคนบงการทั้งสิ้น ให้คนอื่นเป็นผู้พิพากษาทั้งสิ้น
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราต่างหากเป็นผู้พิพากษาใจของเรา แต่ในใจของเราตอนนี้มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากเราถึงเรียกร้องความเป็นธรรมๆ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไปเห็นตามความเป็นจริงแล้วนะ จบ
กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เราทำของเรามาทั้งสิ้น เราทำของเรามาเองทั้งสิ้น แล้วไม่ต้องไปทุกข์ร้อนใจอย่างใด ทำแต่คุณงามความดีของเราไปๆ อันนั้นต่างหากที่มันข้างหน้าต่อไปมันจะไม่ทุกข์ร้อนอย่างนี้
กรรมเก่า กรรมใหม่ การกระทำของเรา สัจธรรม
เรามาวัดมาวาก็เพื่อฟังอย่างนี้ เพื่อเตือนหัวใจของเราให้มีสติมีปัญญา อย่าให้มันโลภโมโทสัน ให้แสวงหาแต่ความทุกข์ยากมาใส่หัวใจเราต่อเนื่องไป เอาแต่บุญกุศล เอาแต่ความเบาบาง เอาแต่สิ่งคุณงามความดีเพื่อหัวใจของเรา เพื่อชีวิตนี้ไม่ให้มันเป็นทุกข์อย่างนี้อีก
แต่ชีวิตนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราบ้าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราพยายามคุ้มครองดูแลหัวใจของเรา ชีวิตของเราให้เข้าสู่สัจธรรมความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอวัง